รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มจร บรรยายพิเศษ เรื่อง “ภาวะผู้นำเชิงพุทธ” โครงการอบรมธรรมทูตคฤหัสถ์ฮ่องกง

วันศุกร์ที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๑๓.๐๐ น. พระปัญญาวัชรบัณฑิต, รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มจร บรรยายพิเศษหัวข้อ เรื่อง “ภาวะผู้นำเชิงพุทธ” ท่านได้ชี้ให้เห็นว่าภาวะผู้นำคือความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างอิทธิพล และแนะนำผู้อื่นไปสู่เป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ร่วมกัน

การเป็นผู้นำที่ดีนั้นไม่เพียงแต่ต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญ แต่ยังต้องมีคุณสมบัติในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น การสร้างสรรค์และสนับสนุนการพัฒนาโดยการมีส่วนร่วมจากสมาชิกทุกคนในองค์กร ทั้งนี้การนำไปสู่การทำงานร่วมกันในทิศทางเดียวกันจะช่วยให้เกิดความสำเร็จในกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของการนำอย่างมีเมตตาและการมองเห็นคุณค่าของทุกคนภายในทีม เพื่อสร้างเสริมความร่วมมือและความสามัคคีในองค์กร ซึ่งจะสามารถเสริมสร้างสังคมที่ดีและยั่งยืนได้ในที่สุด

ภาวะผู้นำเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง คำถามสำคัญที่ท่านตั้งประเด็นในการบรรยายโดยท่านกล่าวถึงหลักทั่วไปที่สำคัญสำหรับผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ปัจจัยแรกคือวิสัยทัศน์และทิศทาง (Vision and Direction) ซึ่งหมายถึง การมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและการตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้ ทำให้ทีมมีจุดมุ่งหมายในการทำงานร่วมกัน

ประการถัดมาคือแรงจูงใจและอิทธิพล (Motivation and Influence) ที่สำคัญต่อการสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้สมาชิกในทีมทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจ (Decision-Making) ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ผู้นำต้องมี โดยต้องสามารถตัดสินใจอย่างรอบคอบ แม้จะยากที่จะทำ เพื่อให้กลุ่มเดินหน้าต่อไป

นอกจากนี้ ผู้นำยังต้องสร้างบรรยากาศที่มีการร่วมมือและเพิ่มพลังให้กับสมาชิกในทีม (Collaboration and Empowerment) เพื่อการเติบโตและพัฒนาของทุกคน การปรับตัว (Adaptability) ก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญ เนื่องจากผู้นำจะต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามสำคัญที่ท่านตั้งประเด็นเพื่อสรุปให้เห็นความหมายของคำว่า “ภาวะผู้นำเชิงพุทธ” คืออะไร What is Buddhist Leadership? ส่วนนี้ท่านได้อธิบายถึงแนวคิดที่สำคัญซึ่งคือภาวะผู้นำที่มุ่งหมายไปสู่การสร้างแรงบันดาลใจและแนะนำผู้อื่นให้ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระนิพพานหรือความหลุดพ้น ภาวะผู้นำเชิงพุทธเน้นที่ประโยชน์และการดูแลชีวิตของสรรพสัตว์ โดยการใช้อิทธิพลในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีความหมาย

แนวทางนี้สนับสนุนให้ผู้นำไม่เพียงแต่ให้แรงจูงใจในงานทั่วไป แต่ยังต้องมุ่งมั่นในการนำสมาชิกในทีมไปสู่การเข้าใจและเข้าถึงความหลุดพ้น เรียกร้องให้เกิดการบูรณาการทางจิตใจและสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทางศาสนาและวัฒนธรรม

ภาวะผู้นำเชิงพุทธและการนำหมู่สัตว์สู่ความหลุดพ้น ท่านกล่าวถึงการนำที่มุ่งเน้นการนำหมู่สัตว์ในสังสารวัฏไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวคือการบรรลุพระนิพพานหรือความหลุดพ้น โดยภาวะผู้นำเชิงพุทธนั้น ท่านได้เน้นย้ำถึงบทบาทของผู้นำในการสร้างแรงบันดาลใจและอิทธิพลที่ดีต่อผู้อื่น เพื่อให้ทุกคนร่วมมือกันในการเดินทางไปสู่เส้นทางการหลุดพ้นจากวงจรแห่งการเกิดใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้นำที่มีคุณสมบัติเชิงพุทธจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในธรรมะเพื่อนำทางผู้ติดตามไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่สร้างความก้าวหน้าในชีวิตที่เป็นอยู่ แต่ยังต้องมุ่งหวังถึงอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกชีวิตในสังคม เป็นการนำไปสู่สันติภาพและความสงบในจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่พุทธศาสนาให้คุณค่าอย่างยิ่ง

ท่านได้สรุปคุณสมบัติสำคัญที่พระพุทธเจ้าแสดงให้เห็นในการเป็นผู้นำ ซึ่งประกอบด้วยสามคุณสมบัติหลัก ได้แก่ ความรู้ (Wisdom), ความบริสุทธิ์ (Purity) และความกรุณา (Compassion) โดยชี้ให้เห็นว่า ความรู้ (Wisdom) มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำ เพราะพระพุทธเจ้าใช้ปัญญาในการวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอแนวทางที่ถูกต้องให้กับผู้คน ความบริสุทธิ์ (Purity) สะท้อนถึงจิตใจที่ไร้ซึ่งกิเลสและการยึดมั่นในอัตตา ทำให้พระพุทธเจ้าสามารถเคลื่อนไหวและตัดสินใจในสิ่งที่เป็นธรรมได้อย่างแท้จริง

ส่วนความกรุณา (Compassion) เป็นคุณสมบัติที่ทำให้พระพุทธเจ้าห่วงใยและเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น ซึ่งกระตุ้นให้พระองค์มีความมุ่งมั่นในการช่วยพาให้ผู้คนออกจากความทุกข์และเดินไปสู่เส้นทางผาสุกด้วยกัน คุณสมบัติเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำที่ได้รับความเคารพและประทับใจจากผู้ติดตามทุกยุคสมัย

ท่านได้ยกตัวอย่างตัวหนังสือ “The Habits of Highly Effective People” โดย Stephen R. Covey ซึ่งเป็นหนังสือซึ่งได้รับการตีพิมพ์และจำหน่ายเกิน 15 ล้านเล่ม โดยเนื้อหาภายในหนังสือมุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในเรื่องการจัดการชีวิตและการเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคลโดยมีบทเรียนที่ทรงพลังซึ่งรวมถึงกุศโลบาย (Skills) ที่ช่วยให้ผู้อ่านเรียนรู้วิธีการ (how to) ปัญญา (Knowledge) ในการทำความเข้าใจสิ่งที่ควรทำและเหตุผลในการทำ (what to, why to) และกรุณา (Desire) เพื่อกระตุ้นแรงปรารถนาในการพัฒนาตนเอง (want to) ซึ่งท่านชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างนิสัยที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาชีวิตและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการเรียนรู้และการปรับปรุงตัวเองในทุกด้านของชีวิต

นอกจากนี้ ท่านได้กล่าวถึงคำสอนจาก “ธรรมนีติ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้นำที่ดีควรมีความรอบรู้และสามารถรับฟังความคิดเห็นจากหลายมุมมอง โดยกล่าวว่า “ผู้นำย่อมเป็นผู้มีตานับร้อย มีหูนับร้อย” ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของการมีความเข้าใจที่รอบด้านเกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้นำจะมีความรู้มากมาย แต่ก็ยังอาจทำตัวเป็นคนหูหนวกหรือตาบอดได้บ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้นำจะมีการไตร่ตรองทุกอย่างในที่ประชุม และพร้อมที่จะเปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากผู้ติดตาม การสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและการยอมรับมุมมองที่แตกต่างกันจะช่วยเสริมสร้างการร่วมมือและความเข้าใจในทีม ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับภาวะผู้นำที่เชื่อมโยงกับหลักการของพระพุทธศาสนาในการพัฒนาความสงบสุขและความเป็นเอกภาพในองค์กร

บทเรียนจาก “ราโชวาทชาดก” ในภาวะผู้นำเชิงพุทธ ท่านได้นำมาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งและสรุปให้เห็นว่า “ถ้าโคจ่าฝูงไปคดเคี้ยว โคทั้งฝูงก็ไปคดเคี้ยวตามกัน” ท่านชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการประพฤติที่ถูกต้องและเป็นธรรมของผู้นำเพราะการกระทำของผู้นำจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของประชาชนในสังคม หากผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนก็จะมีแนวโน้มที่จะประพฤติตามผู้นั้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมและความรับผิดชอบ สำหรับการสร้างสังคมที่สงบสุขและเป็นธรรม ซึ่งการเรียนรู้จากตัวอย่างในชาดกนี้ ทำให้เข้าใจถึงบทบาทของผู้นำในการชี้นำและสร้างมาตรฐานทางศีลธรรมที่ดีในสังคม เพื่อให้ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและมีความสุขได้ร่วมกัน

ช่วงท้ายของการบรรยายท่านได้หยิบประเด็นบทเรียนด้านภาวะผู้นำเชิงพุทธจากพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งมีข้อความว่า “ยามฝูงโคข้ามฟากนที โคโจกนำตรงดี ไปเลี้ยว ปวงโคอื่นตามรี่ รุดข้ามทั้งหมดไม่คดเคี้ยว ไต่เต้าตามกัน” ท่านสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของผู้นำที่ดีในการเป็นตัวอย่างที่แจ่มชัดในการนำทางให้กับสมาชิกในกลุ่ม โดยเมื่อผู้นำมีทิศทางที่แน่นอนและถูกต้อง ฝูงชนหรือกลุ่มคนอื่นๆ จะสามารถเดินตามในแนวทางที่ถูกต้องได้เช่นกัน

การข้ามฟากน้ำเปรียบได้กับการเผชิญอุปสรรคในชีวิต หากผู้นำสามารถนำสมาชิกในกลุ่มให้หลีกเลี่ยงการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องและนำพวกเขาสู่เส้นทางที่ตรงไปตรงมา จะทำให้ทีมสามารถก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น ลักษณะของผู้นำเชิงพุทธจึงควรมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และสามารถสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนการปฏิบัติที่ดียิ่งขึ้นแก่สมาชิกในกลุ่ม เพื่อให้ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองและบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้อย่างสำเร็จ

Scroll to Top