วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๑๔.๐๙ น. ณ วัดกะพังสุรินทร์ พระอารามหลวง จังหวัดตรัง เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) เจ้าคณะใหญ่หนใต้ และเจ้าอาวาสวัดกะพังสุรินทร์ เมตตาให้คณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ เข้ากราบถวายสักการะและถวายรายงานการดำเนินงาน นำโดย พระครูสุตรัตนบัณฑิต ผู้อำนวยการวิทยาลัยพระธรรมทูต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายสุขภาพ
คณะผู้บริหารที่ร่วมเข้าถวายรายงานประกอบด้วย นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพฯ ฝ่ายคฤหัสถ์, นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.), นายแพทย์ประจักษวิช เล็บนาค พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), กรมอนามัย และโรงพยาบาลสงฆ์
ในการนี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ ได้เมตตากล่าวอนุโมทนาและชื่นชมความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่ขับเคลื่อนงานดูแลสุขภาพพระสงฆ์อย่างเข้มแข็ง โดยประทานโอวาทธรรมที่เป็นหัวใจสำคัญว่า “ขออนุโมทนากับทุกภาคส่วนที่ร่วมด้วยช่วยกันขับเคลื่อนงานนี้ งานดูแลสุขภาพนั้น แท้จริงแล้วต้องเริ่มต้นที่การ “เรารู้จักตัวเอง” เมื่อเรารู้จักตนเอง เราจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตนเอง เห็นถึงความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดาตามกฎของธรรมชาติ”
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังทรงเน้นย้ำว่า เมื่อพระสงฆ์และพุทธบริษัทรู้จักตนเองและยอมรับในความเสื่อมของสังขาร ย่อมทำให้เกิดความไม่ประมาทในการดูแลรักษาธาตุขันธ์ การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์จึงต้องมุ่งเน้นการปฏิบัติให้เกิดมรรคผลเชิงประจักษ์ สอดคล้องกับพระธรรมวินัย และมีการวัดผลที่เป็นรูปธรรม
สำหรับแผนการดำเนินงานในพื้นที่ คณะสงฆ์หนใต้ (๑๔ จังหวัดภาคใต้) คณะทำงานได้ถวายรายงานถึงความคืบหน้าในการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพพระสงฆ์และสามเณร การขยายผลวัดส่งเสริมสุขภาพ และการส่งเสริมบทบาทพระคิลานุปัฏฐาก ซึ่งสอดรับกับแนวทาง “รู้ตน รู้ธรรม นำสุขภาวะ” เพื่อให้พระสงฆ์ในภาคใต้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นหลักชัยทางจิตใจให้แก่ประชาชน
ในช่วงท้าย นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา และภาคีเครือข่าย ได้รับสนองโอวาทเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยคณะทำงานจะมีการประชุมขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในวันพรุ่งนี้ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้พระสงฆ์มีความเข้าใจในสภาวะร่างกายของตนเอง ควบคู่ไปกับการจัดระบบบริการสาธารณสุขที่เข้าถึงง่ายและเหมาะสมกับสมณสารูปอย่างยั่งยืนสืบไป









